หากบ้านใครอยู่ในพื้นที่ที่มีไฟตกหรือไฟกระชากบ่อยครั้ง ก็คงเคยเจอกับปัญหาเล่นเกมอยู่แล้วคอมดับ เล่นยังไม่จบเกม หรือยังไม่ทันได้เซฟงาน อุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่จำเป็นอย่างมากคือ UPS หรือเครื่องสำรองไฟที่เปรียบเสมือนการต่อชีวิตให้กับคอมพิวเตอร์ในช่วงที่ไฟดับ เพราะสามารถช่วยซื้อเวลาให้คุณเซฟงานหรือเซฟเกมจนกระทั่งปิดคอมได้ทัน ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายของงานที่สำคัญได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานคอมของคุณไม่ให้พัง จนเสียค่าซ่อมราคาแพงจากปัญหาไฟตกบ่อยหรือไฟดับอีกด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมี UPS อยู่มากมายในท้องตลาด มีหลากหลายราคาให้เลือกซื้อ ซึ่งหลักการง่าย ๆ อย่างหนึ่งในการเลือกซื้อ UPS ที่เหมือนกับ PSU (อุปกรณ์จ่ายไฟในคอมที่นับว่ามีความสำคัญมากที่สุด) คือการเลือกซื้อเครื่องที่มีราคาสูงกว่าในระดับหนึ่ง แน่นอนว่ามันต้องมีฟีเจอร์อะไรบ้างที่เหนือกว่าเครื่องราคาถูกอยู่แล้ว และวันนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปดูกันว่า UPS ราคาถูก vs. ราคาแพง มีความแตกต่างกันอย่างไรและควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ
เรียนรู้รูปแบบของ UPS
แต่ก่อนที่จะไปเทียบประสิทธิภาพของ UPS เรามาเรียนรู้กันสักนิดว่ามันมีแบบใดบ้าง ปัจจุบันในหนังสือคอมพิวเตอร์มักกล่าวถึง UPS ทั้ง 3 แบบ ได้แก่
– Standby หรือ Offline: เป็น UPS ที่ราคาถูกที่สุด เน้นการใช้งานทั่วไปในอุปกรณ์ที่ไม่ได้ต้องการความแม่นยำในการจ่ายไฟฟ้าสักเท่าไร ลักษณะการจ่ายไฟคือ ในช่วงที่ไฟฟ้าปกติ ไฟฟ้าจากในบ้านทางหนึ่งจะวิ่งตรงผ่านเข้าไปในคอม ส่วนอีกทางหนึ่งจะวิ่งเข้ามาชาร์จแบตภายใน UPS และเมื่อถึงไฟดับ จะเกิดการสลับมาใช้ไฟจากแบตเตอรี่ ซึ่งจังหวะที่สลับนี้จะกินเวลาสับเปลี่ยนประมาณ 20-100 มิลลิวินาที คอมที่กินไฟมาก ๆ อาจจะไม่สามารถใช้งาน UPS แบบนี้ได้เพราะมีช่วงของการสลับไฟยาวเกินไป แถมฟีเจอร์ยังน้อยที่สุดด้วย
– Line-Interactive: จะมีความคล้ายกับแบบ Standby แต่เพิ่มส่วนของ Inverter ที่ฉลาดขึ้นมาช่วยในการจัดการไฟ ไฟฟ้าจากในบ้านส่วนหนึ่งจะวิ่งเข้ามาเลี้ยงที่คอมโดยตรง และจะมี Inverter ส่งไฟไปชาร์จแบตเอาไว้ด้วย เมื่อไฟดับ Inverter จะจัดการสลับไฟจากแบตส่งมาที่คอมแทน ซึ่งระยะเวลาในการสลับแบตนั้นจะอยู่ประมาณไม่เกิน 10 มิลลิวินาทีเท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะเพียงพอกับคอมพิวเตอร์ เว้นเสียแต่ว่ามีอุปกรณ์ที่ต้องรับไฟตลอดเวลาก็อาจจะไม่เพียงพอครับ
– True On-line หรือ Double Conversion: ระบบนี้มีการจ่ายไฟที่เหมือนกับไฟบ้านปกติมากที่สุด โดยไฟบ้านที่เข้ามาใน UPS จะถูกแปลงจากกระแสสลับเป็นกระแสตรง (AC to DC) ไฟส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปชาร์จแบต แล้วไฟอีกส่วนหนึ่งจะถูกแปลงจากกระแสตรงเป็นกระแสสลับ (DC to AC) ก่อนที่จะเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ซึ่งการแปลงสองชั้นแบบนี้จะช่วยกรองสิ่งรบกวนต่าง ๆ ช่วยให้การจ่ายไฟได้นิ่งเรียบยิ่งกว่าไฟบ้านจริง ๆ เสียอีก
และเมื่อไฟตัดไฟจากแบตเตอรี่ซึ่งเดิมวิ่งเข้าออกอยู่แล้ว ก็จะวิ่งเข้าไปแทนที่ไฟบ้านที่โดนตัดออกทันที ส่งผลให้ไฟที่วิ่งเข้าเลี้ยงคอมมีความราบลื่นที่สุดเมื่อเทียบกับ UPS สองแบบก่อนหน้านี้ แถมยังรองรับฟีเจอร์การป้องกันต่าง ๆ มากที่สุดในนี้ด้วย
การส่งกระแสไฟ
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือรูปแบบการส่งสัญญาณไฟฟ้า ปกติแล้วอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มักจะรับกระแสไฟในรูปแบบ Sine wave ซึ่งปัจจุบัน UPS จะมีการส่งกระแสไฟอยู่ด้วยกัน 2 แบบที่นิยม คือแบบ Simulated sine wave และแบบ Pure sine wave เปรียบเทียบได้จากรูปทางด้านล่าง
Simulated sine wave ถูกออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการส่งกระแสไฟฟ้าเหมือน Sine wave ธรรมชาติ แต่จะเห็นว่าในบางช่วงนั้นจะมีช่องโหว่ของกระแสไฟเกิดขึ้น ซึ่งหากเกิดไฟดับ ไฟกระชาก หรือไฟตกขึ้นมา UPS อาจส่งกระแสไฟฟ้าไปยังคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอ หรืออาจส่งโหลดไปมากจนทำให้อุปกรณ์เสียหาย
ในขณะที่ UPS แบบ Pure sine wave พูดง่าย ๆ คือมันมีการส่งกระแสไฟฟ้าเหมือนการต่อไฟบ้านเข้าคอมพิวเตอร์โดยตรง เหมาะกับอุปกรณ์ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนของไฟฟ้าอย่างมาก โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่มีฟีเจอร์ Active PFC เช่น PSU ในปัจจุบันส่วนมากจะมีฟีเจอร์นี้มาให้ หากจะใช้ UPS ควรเลือกแบบ Pure sine wave (จริง ๆ ผมคิดว่ามันจำเป็นต้องใช้เสียด้วยซ้ำ เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอุปกรณ์ภายในเครื่อง) ซึ่งเป็นจุดที่ Simulated sine wave ให้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม UPS แบบ Pure sine wave จะมีราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับแบบ Simulated sine wave ครับ
UPS ราคาถูก vs. ราคาแพง
สำหรับรุ่นที่ผมนำมาทดสอบนั้น รุ่นราคาถูกคือ CyberPower VP1600ELCD ซึ่งเป็น UPS แบบ Line-interactive, simulated sine wave
ส่วนรุ่นราคาแพงคือ CyberPower OLS1000E เป็น UPS แบบ True on-line, pure sine wave
จะเห็นว่ารุ่นราคาถูก VP1600ELCD สามารถเก็บไฟฟ้าได้ 960W ในขณะที่ OLS1000E สามารถเก็บไฟฟ้าได้ 900W บางคนอาจจะบอกว่า เอ๊ะ รุ่นราคาถูกมันจุไฟได้เยอะกว่า น่าจะเก็บจ่ายไฟได้เยอะกว่านานกว่าสินะ !! จริงหรือเปล่า ไปดูได้จากคลิปด้านล่างนี้เลยครับ
ในการนำ UPS แบบ Line-interactive มาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ไฟที่จะจ่ายได้จะอยู่ที่ราว ๆ 50-70% ของความจุ W ที่มี (เมื่อนำ VP1600ELCD มาคำนวณแล้ว จะจ่ายไฟที่ราว ๆ 480W-670W) ในขณะที่ UPS แบบ True-online จะจ่ายได้ราว 80% ขึ้นไปเลยทีเดียว (เมื่อนำ OLS1000E มาคำนวณแล้ว จะจ่ายไฟที่ราว ๆ 720W ขึ้นไป)
CyberPower VP1600ELCD
เพราะฉะนั้น เมื่อประเมินแล้ว CyberPower OLS1000E จ่ายไฟได้ใกล้เคียงกับสเปกที่ระบุไว้มากกว่า เพราะเป็น UPS แบบ True-online, pure sine wave นอกจากนี้ UPS แบบ True-online ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาเกี่ยวไฟฟ้าได้เหนือกว่า UPS แบบ Line-interactive แน่นอนว่าฟีเจอร์เหล่านั้น CyberPower VP1600ELCD ให้ไม่ได้ครับ
CyberPower OLS1000E
แต่อย่างที่ผมได้บอกไว้ข้างต้นว่าราคาของ UPS ทั้งสองรุ่นนั้นมีความแตกต่างกันเกือบครึ่งหนึ่งเลย โดย CyberPower OLS1000E จะมีราคาอยู่ที่ 14,000 บาท ส่วน CyberPower VP1600ELCD จะมีราคา 8,500 บาท หลายคนก็อาจจะรู้สึกรักพี่เสียดายน้องว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกตัวไหนดี True-online ก็อยากใช้ แต่จะกระทบกับเงินในกระเป๋าเกินไป ดังนั้น ผมมีแนวทางเลือกประมาณนี้ครับ
– ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณใช้ PSU แบบ Active PFC และ/หรือ มีสเปกที่ค่อนข้างแรง การ์ดจอกินไฟเยอะ ๆ อย่าง GeForce RTX 3080/3090, Radeon RX 6800XT/6900XT แนะนำให้เลือก UPS แบบ True-online, pure sine wave อย่างเจ้า CyberPower OLS1000E
– ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณสเปกธรรมดา ๆ เน้นการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม DOTA 2 หรือ The Sims การเลือก UPS แบบ Line-interactive, simulated sine wave อย่าง CyberPower VP1600ELCD ก็ถือว่าอยู่ในช่วงราคาที่สมเหตุสมผลครับ
บทสรุป: เลือก UPS ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุดสำหรับคุณ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังมองหา UPS คู่ใจกับเครื่องคอมพิวเตอร์นะครับ ยังไงก็อยากให้เพื่อน ๆ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคอมของตนเอง โดยพิจารณาทั้งในเรื่องคุณสมบัติของ UPS, ฟีเจอร์ในการป้องกันไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ, สเกลและความสำคัญของอุปกรณ์ชิ้นต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเรื่องของราคา และแน่นอนว่าถ้าจะเลือก UPS ที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมม ในราคาคุ้มค่านั้น อย่าลืมมองหา UPS จาก CyberPower กันนะครับ
You must be logged in to post a comment.