ไดรฟ์ USB แบบเข้ารหัสของคิงสตัน เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ปฏิบัติตามระเบียบของ
GDPR หรือกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในสหภาพยุโรป
- กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป (GDPR) ส่งผลต่อบริษัททั่วโลกที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่อาศัยอยู่ในสหภาพยุโรป
- การห้ามพนักงานใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่ถอดออกได้ก่อให้เกิดประเด็นทางด้านความปลอดภัยอื่นๆ และส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการทำงานของพนักงาน
- ไดรฟ์ยูเอสบีที่เข้ารหัสของคิงสตันได้รับการออกแบบเพื่อตอบสนงความท้าทายของพนักงานและข้อกำหนดทางด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปัจจุบัน
กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย – 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 – Kingston, ผู้นำในด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชั่นเทคโนโลยีของโลก ที่อยู่ในระดับแถวหน้าเมื่อพูดถึงระเบียบและข้อบังคับทางด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์หรือกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป General Data Protection Regulation (GDPR) ฉบับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อทุกคนที่ใช้ข้อมูลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป ทั้งนี้บริษัทขนาดใหญ่และบรรดาองค์กรทั่วโลกกำลังตอบโต้ต่อภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลที่ถอดออกได้ โดยการห้ามใช้สิ่งเหล่านี้โดยมิได้ตระหนักถึงปัญหาที่สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้น ดังนั้น การใช้แฟลชไดรฟ์ USB ที่เข้ารหัส เช่น แฟลชไดรฟ์รุ่น IronKey™ และ DataTraveler® ของคิงสตันตลอดจนมีมาตรฐาน นโยบายและคำแนะนำในการใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ USB ที่เข้ารหัสจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการโปรโมทความปลอดภัยทางไซเบอร์ การดำรงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของพนักงานและการปฏิบัติตามกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป
“เราเชื่อว่าธุรกิจและหน่วยงานอื่นๆ ที่ห้ามพนักงานใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่ถอดออกได้ยังไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลอย่างเพียงพอเพื่อทำความเข้าใจว่ามีหลายวิธีที่ข้อมูลจะไหลเข้ามาและออกไปจากองค์กร” คิงสตันกล่าว “การหยุดใช้ USB จะไม่ช่วยป้องกันบุคลากรในการใช้หรือขโมยข้อมูลที่มีคุณค่า แต่เรามีโซลูชั่นที่พร้อมสำหรับการควบคุมการเข้าถึงพอร์ต USB ไดรฟ์ USB และสิ่งที่สามารถคัดลอกข้อมูลเก็บไว้”
กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรปส่งผลกระทบต่อองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐฯ
กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป (EU GDPR) ซึ่งจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในเดือนนี้ พยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสิทธิในการปกป้องข้อมูลแก่พลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์ในการปกป้องข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ในอนาคตแก่ทั้งองค์กรที่อยู่และไม่อยู่ในสหภาพยุโรป ซึ่งใช้ข้อมูลของผู้ที่อาศัยอยู่ในสหภาพยุโรป ในกรณีที่มีข้อมูลรั่ว องค์กรจะต้องถูกปรับสูงถึง 4% ของรายได้จากทั่วโลกต่อปีหรือ 20 ล้านยูโร (ขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขไหนมากกว่ากัน) และจะต้องแจ้งให้ผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศทราบ
ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจากการที่ข้อมูลรั่วทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นถึง 23% ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจากการที่ข้อมูลรั่วขององค์กรขนาดใหญ่ในสหภาพยุโรปสูงถึง 3.7 ล้านยูโรและในประเทศสหรัฐฯ สูงถึง 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ท้าทายสื่อบันทึกข้อมูลที่ถอดออกได้
การประกาศของบริษัทต่างๆ ซึ่งห้ามใช้สื่อบันทึกข้อมูลที่ถอดออกได้ เนื่องจาก “มีโอกาสเป็นไปได้เกี่ยวกับความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงจากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบพกพาที่ถอดออกได้ซึ่งถูกวางไว้ผิดที่ สูญหายหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดจะต้องถูกลดลงให้เหลือน้อยที่สุด” และจากการใช้กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรปในเดือนนี้ มีแรงจูงใจทางการเงินอันมหาศาลเพื่อลดความเสี่ยง
การกีดกันหรือการห้ามพนักงานใช้พอร์ต USB อาจดูเป็นคำตอบที่ง่าย แต่ก็อาจจำกัดศักยภาพในการทำงานและทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ในปัจจุบัน พนักงานที่ทำงานที่ไหนก็ได้ไม่ต้องจำกัดอยู่ในที่เดียว (mobile workforce) มีวัตถุประสงค์ในการใช้สื่อบันทึกข้อมูลที่ถอดออกได้ ตามตัวอย่างดังนี้:
- การจัดเก็บข้อมูลที่ไม่อยู่ในคลาวด์ (Non-cloud storage): พนักงานเหล่านี้อาจไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จำเป็นหรือไม่มีศักยภาพในการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลเนื่องจาก “Free Wi-Fi” ท้องถิ่นที่ไม่น่าไว้วางใจ การอนุญาตของเครือข่ายหรือไฟร์วอลล์
- ข้อตกลงของระดับการให้บริการ (Service Level Agreements : SLA): ระบบการให้บริการหรือการช่วยเหลือลูกค้าโดยการใช้ซอฟท์แวร์ต้องมีการส่งผ่านไดรฟ์ USB
- ข้อมูลที่อยู่ไกล (Remote data): การรวบรวมข้อมูลจากการวิจัยภาคสนามจากการตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉินและการใช้วิทยาศาสตร์สำหรับสถานการณ์ทางทหาร
ก่อนหน้านี้เคยมีการห้ามใช้ไดรฟ์ USB แต่ก็ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย การห้ามใช้ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยการกำหนดและการยึดถือมาตรฐานหรือนโยบายที่มีประสิทธิภาพซึ่งมากับการใช้ไดรฟ์ USB ที่เข้ารหัส โซลูชั่นเหล่านี้ได้ช่วยธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กในการถ่ายโอนข้อมูลทางโมไบล์ได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจเป็นเวลาหลายปี
ทางออกคือ: ไดรฟ์ที่เข้ารหัส
การเข้ารหัสเป็นหนึ่งในวิธีการที่น่าไว้วางใจที่สุดในการปกป้องข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็นความลับหรืออ่อนไหว ไดรฟ์ยูเอสบีที่เข้ารหัสเป็นโซลูชั่นของผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยและเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับกลยุทธ์ในการป้องกันข้อมูลสูญหายได้อย่างสมบูรณ์แบบ (DLP) ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า บริษัทและองค์กรจะต้องยืนยันให้พนักงานใช้ไดรฟ์ USB ที่เข้ารหัสเท่านั้น ซึ่งเป็นการผสมผสานความได้เปรียบในการเปิดโอกาสให้เข้าถึงไดรฟ์ยูเอสบีในขณะที่สามารถปกป้องข้อมูลในขณะที่เดินทาง โซลูชั่นยูเอสบีที่เข้ารหัสจึงได้รับการออกแบบเพื่อปกป้องแม้กระทั่งข้อมูลที่อ่อนไหวมากที่สุด โดยใช้กฎระเบียบและโปรโตคอลทางด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุด
ไดรฟ์ยูเอสบีที่เข้ารหัสเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการอุดช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัย ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามโดยการนำเสนอ:
- การเข้ารหัสด้วยฮาร์ดแวร์ AES-256bit ในโหมด XTS
- สามารถป้องกันไวรัสและมัลแวร์
- สามารถจัดการได้แบบทางไกล
- เป็นไปตาม TAA และได้รับการรับรองจาก FIPS
- มีความจุตั้งแต่ 4GB ถึง 128GB
- customization program ของคิงสตัน
สำหรับข้อมูลอื่นเพิ่มเติมจาก IronKey และโซลูชั่นเข้ารหัสของคิงสตัน โปรดเข้าชมได้ที่ kingston.com
พบกับ Kingston ได้ที่
You must be logged in to post a comment.