ในยุคปัจจุบันเราจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง Big Data กันมากขึ้น ซึ่ง Data หรือข้อมูล ค่อนข้างมีความสำคัญในภาคธุรกิจ การนำข้อมูลไปใช้อย่างเหมาะสมช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตในทิศทางที่ดี แล้วคำว่า Big Data ที่เราพูดถึงกันคืออะไร แอดจะพาไปทำความรู้จักกันครับ
Big Data คืออะไร
Big Data หรือถ้าเราแปลกันแบบง่าย ๆ อาจเรียกว่า “ข้อมูลขนาดใหญ่” เกิดจากการรวบรวมข้อมูลที่มีทั้งหมดภายในองค์กร ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมก็อาจแตกต่างกันตามแต่ละองค์กร ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลติดต่อของลูกค้า, ข้อมูลพนักงานในองค์กร, ข้อมูลของผลิตภัณฑ์, ไฟล์เอกสารต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งข้อมูลสำหรับการนำไปเทรน AI เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บอยู่ในรูปแบบดิจิทัลกันมากขึ้น มีขนาดใหญ่ ที่สำคัญพวกมันสามารถนำไปวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปวางแผนและตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับยุคนี้เรามีการใช้ AI กันมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยชุดข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้ AI ช่วยวิเคราะห์ หรือนำไปเทรน AI เพื่อจุดประสงค์เฉพาะ ดังนั้น การทำ Big Data ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าทางธุรกิจให้เราครับ
4V ลักษณะสำคัญของ Big Data
การมีเพียงแค่ข้อมูลขนาดใหญ่ปริมาณมาก ๆ อาจไม่เพียงพอต่อการให้คำนิยามว่า Big Data แล้วข้อมูลที่จะเรียกว่า Big Data ได้ต้องเป็นอย่างไร เราให้นิยามแบบจำง่าย ๆ คือ 4V ดังนี้
1. Volume
Volume หรือปริมาณข้อมูล เป็นด่านแรกที่บอกว่าข้อมูลนั้น Big หรือเปล่า โดยส่วนมากก็จะเริ่มกันที่ข้อมูลที่รวบรวมได้ควรมีขนาดในระดับ Terabyte (TB) ขึ้นไป ก็พอจะจัดว่าเป็นข้อมูลระดับ Big Datas ได้ครับ
2. Variety
Variety หรือความหลากหลาย ในภาคธุรกิจคงไม่ได้มีข้อมูลเพียงชนิดเดียว แต่ต้องอาศัยข้อมูลหลากหลายประเภทในการดำเนินธุรกิจครับ ทั้งไฟล์เอกสาร, ไฟล์วิดีโอ, ไฟล์เสียง หรือไฟล์เฉพาะจากแอปพลิเคชันที่ใช้ในองค์กร แม้จะแตกต่างกันแต่ทุก ๆ ข้อมูลนั้นมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจครับ
3. Velocity
Velocity หรือความเร็วของข้อมูล หมายถึงข้อมูลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมตลอดเวลาแทบจะเป็น Real-time โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากหรือการขายสินค้า ข้อมูลที่เราได้มาจากลูกค้านั้นควรถูกนำมาใช้ทันทีเพื่อให้คุณค่าของมันยังคงอยู่ คงไม่มีใครที่ซื้อของแล้วต้องรอของกันนานนับเดือน หากเราไม่ใช้ข้อมูลในตอนนี้มันคงไม่มีความหมายในภายหลัง
4. Veracity
Veracity ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพราะข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากมีความหลากหลาย ดังนั้น ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของข้อมูลจึงสำคัญ เพื่อให้เราสามารถหยิบข้อมูลมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจครับ
Big Data เหมาะกับใคร?
Big Data เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลจากทุกแหล่งสามารถนำไปวิเคราะห์และวางแผนในการดำเนินธุรกิจ ให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุดด้วย
ยิ่งธุรกิจเราตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็วมากเท่าไร เท่ากับว่าเราสามารถทำรายได้มากขึ้น และลดต้นทุนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ทำให้ Big Data ถูกนำไปใช้ในการวางแผนการตลาด เพื่อวิเคราะห์ลักษณะของผู้บริโภค รวมถึงความต้องการของผู้บริโภค สำหรับรองรับธุรกิจทั้งเล็ก, กลาง และใหญ่
Data จะดี เมื่อคุณมีหลังบ้านที่ดีด้วย HPE Server
ปัจจุบันภาคธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็ก, กลาง หรือใหญ่ การจัดการกับข้อมูลจำนวนมากต้องมีระบบจัดเก็บและประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการใช้งาน ซึ่งตัวช่วยที่แอดขอนำเสนอในวันนี้ คือ HPE Server นั่นเองครับ
HPE ProLiant Gen 11 ที่สุดของเซิร์ฟเวอร์ยุคดิจิทัล
สำหรับ Server รุ่นล่าสุดของทาง HPE คือซีรีส์ ProLiant Gen 11 ที่อัปเกรดประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของสเปกและฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับการรองรับข้อมูลในยุคปัจจุบัน จะมีรุ่นไหนบ้างเดี๋ยวแอดพาไปดู
HPE ProLiant DL320 Gen11
HPE ProLiant DL320 Gen11 เป็น Rack Server ที่มาพร้อมซีพียู Intel Xeon Scalable รุ่นที่ 4 ออกแบบมาเพื่อการทำ Data Management หรือการจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะ หรือจะนำไปใช้ในงานในด้าน Virtualization เพื่อวางระบบการทำงานภายในองค์กรก็ได้เช่นกัน
HPE ProLiant DL360 Gen11
ใหญ่ขึ้นมาหน่อยจะเป็นตัว HPE ProLiant DL360 Gen11 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลที่มีเวิร์กโหลดหลากหลายในเวลาเดียวกัน ซีพียูที่ใช้ยังเป็น Intel Xeon Scalable รุ่นที่ 4 ที่ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงและแม่นยำ ในขณะเดียวกัน HPE ProLiant DL360 Gen11 ยังมีให้เลือกทั้งรุ่น 1 ซีพียูและ 2 ซีพียู
สำหรับ HPE ProLiant DL360 Gen11 เหมาะกับการวางโครงสร้างพื้นฐาน IT ภายในองค์กร จะทำเป็น Physical, Virtual หรือ Containerized Server ก็ได้ครับ
HPE ProLiant DL380 Gen11
ตัวท็อปของงานนี้เลยก็ว่าได้สำหรับ HPE ProLiant DL380 Gen11 จัดเป็น Server ในระดับอุตสาหกรรม รองรับเวิร์กโหลดหลากหลาย เน้นการประมวลผลในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นงานด้าน CMR, การจัดระบบแผนกให้ทำงานร่วมกันได้, การจัดเก็บข้อมูล, การทำ Virtualization, การทำ Container หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ AI
HPE ProLiant Gen10 เซิร์ฟเวอร์ชั้นนำของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
HPE ProLiant Gen 10/Gen 10 Plus
สำหรับใครที่ประกอบกิจการขนาดเล็กถึงกลาง และกำลังมองหาเซิร์ฟเวอร์ขนาดย่อม ๆ มาใช้ภายในองค์กร อาจเริ่มต้นที่ HPE ProLiant ML30 Gen10 Plus มาพร้อมซีพียู Intel Xeon E2314 แกนประมวลผล 4 Cores/8 Threads ตัวเครื่องเป็นแบบ Tower ตั้งไว้บนโต๊ะทำงานได้เลย หรือถ้าต้องการแบบ Rack จะมีตัวเลือกเป็น HPE ProLiant DL20 Gen10 Plus ที่อัปเกรดซีพียูเป็น Intel Xeon E2336 แกนประมวลผล 6 Cores/12 Threads ครับ
หรือถ้าต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่แรงขึ้น สำหรับรันธุรกิจขนาดกลาง เน้นการจัดเก็บข้อมูลเยอะ ๆ แนะนำเป็น HPE ProLiant ML110 Gen10 มาพร้อมซีพียู Intel Xeon Silver 4210R 10 Cores/20 Threads เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลจำนวนมากและเวิร์กโหลดที่หลากหลายได้ดีขึ้น
ส่วนใครที่ต้องการยกระดับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือต้องการนำไปใช้ในงานด้านอื่น เช่น AI, ML และ Big Data Analytics สามารถเลือกเป็น HPE ProLiant DL385 Gen 10 Plus v2 มาพร้อมซีพียู AMD EPYC 7000 Series รุ่นที่ 3 ใส่ซีพียูได้สูงสุดถึง 2 ตัว พร้อมฟีเจอร์อีกมากมาย ให้คุณดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
ทำไมต้องเลือก HPE Server
1. ซัพพอร์ตอันแข็งแกร่ง
บริการหลังการขายคือสิ่งสำคัญที่ HPE ยึดถือเสมอมา และเช่นเดียวกับ HPE Server ที่ให้ความสำคัญแก่ผู้บริโภค สามารถสอบถามปัญหาต่าง ๆ ทางออนไลน์ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และมีประกันครอบคลุมนานถึง 3 ปีเต็ม
2. มาตรฐานระดับ HPE
ปรฏิเสธไม่ได้ว่า HPE คือหนึ่งในแบรนด์ที่คร่ำหวอดในวงการเซิร์ฟเวอร์ จึงมีมาตรฐานที่ยืนยันถึงเสถียรภาพของฮาร์ดแวร์ รองรับทุกเวิร์กโหลด มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน และที่สำคัญคือเน้นความปลอดภัยของทุกข้อมูลที่อยู่ใน HPE Server ครับ
3. อัดแน่นทุกฟีเจอร์
ปัญหาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดและคาดเดาได้ยาก HPE Server ทุกรุ่นมี ‘HPE InfoSight’ ที่จะเข้ามาช่วยรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยมีการเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า และรองรับการบริหารจัดการแบบอัจฉริยะ
4. ฟีเจอร์แบบเน้นๆ
HPE Server Gen10 และ Gen10 Plus และ Gen11 มีฟีเจอร์ให้เลือกใช้มากมายตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการปรับแต่งไบออส, ระบบให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดเก็บและย้ายข้อมูลด้วย HPE Right Mix Advisor, ความปลอดภัยตั้งแต่ระดับเฟิร์มแวร์จนถึงการบูตเครื่อง และบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์อย่างอัตโนมัติด้วย HPE iLO 5, HPE iLO RESTful API และ HPE OneView
ที่สำคัญยังมี HPE InfoSight ฟีเจอร์ที่จะช่วยรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยมีการเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า และรองรับการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด ซึ่งฟีเจอร์นี้มีมาให้ใน HPE Server ทุกรุ่นครับ
สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ HPEServerStorageCom@SiSthai.com หรือ โทร 02-020-3000
สามารถอัปเดตโปรโมชั่นรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมที่ https://www.hybriditthailand.com/ HPE PROLIANT SUPER HERO with SIS
You must be logged in to post a comment.