สำหรับผู้ที่ชื่นชอบคีย์บอร์ดสไตล์มินิมอล แต่ยังต้องการคีย์บอร์ดที่เป็น Mechanical ผสมเกมมิ่งด้วยเช่นกัน วันนี้ผมจึงขอแนะนำคีย์บอร์ด Keychron K2 รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการเลยครับ
Introduction
ก่อนที่เราจะไปแกะกล่องนะครับ ผมจะพาไปทำความรู้จักกับสเปคของคีย์บอร์ดกันสักนิด อ่านส่วนนี้ให้เข้าใจแล้วเพื่อน ๆ จะสามารถเลือก Keychron ที่เหมาะกับตัวเองได้อย่างแน่นอน
Keychron เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราช่วงกลางปีที่แล้ว โดยจะเน้นเรื่องความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความมินิมอลของคีย์บอร์ด ร่วมกันการเชื่อมต่อแบบไร้สาย จึงเหมาะกับการพกไปใช้นอกสถานที่ร่วมกับอุปกรณ์ตั้งแต่ PC ไปจนถึงสมาร์ทโฟน
ซึ่งคีย์บอร์ดรุ่นที่ผมได้มารีวิวคือ Keychron K2 ลักษณะปุ่มเป็นแบบ Mechanical โดยทางผู้ผลิตเลือกใช้สวิตช์จาก Gateron มีให้เลือกอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น ดังนี้
Red Switch (Linear) – เหมาะแก่การพิมพ์สัมผัสหรือเล่นเกมที่ต้องกดปุ่ม 2 ครั้งติดต่อกัน หรือการกดแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ไม่ต้องออกแรงมาก เสียงจะเบาที่สุดในสามสีที่กล่าวมา
Brown Switch (Tactile) – การกดจะไม่มีเสียงดัง “คลิก” เหมือนอย่าง Blue Switch และมีแรงต้านน้อยกว่า Blue Switch อยู่เล็กน้อย เหมาะสำหรับคนชอบปุ่มกดแบบ 2 จังหวะ บวกกับแรงต้านการกดไม่เท่ากัน ทำให้ผู้ใช้สามารถป้องกันการพิมพ์ผิดหรือการพิมพ์เกินได้เป็นอย่างดี
Blue Switch (Clicky) – มีแรงสะท้อนกลับ การกดแบบ 2 จังหวะ หลายคนนิยมใช้ในการเล่นเกม เพราะให้ความรู้สึกถึงความมั่นใจและแม่นยำ ไม่เผลอกดโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อกดปุ่มจะมีเสียงดัง “คลิก” ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน เพราะทำให้รู้สึกพิมพ์สนุกคล้ายกับเครื่องพิมพ์ดีดที่มีเสียงค่อนข้างดัง
เพียงเท่านี้เพื่อน ๆ ก็คงจะมีคีย์บอร์ดในดวงใจไว้แล้วใช่ไหม เอาหละเราไปดูตัวเครื่องของจริงกันเลยครับ
Unboxing and Testing
ในส่วนของแพคเกจนั้นทำออกมาแบบเรียบ ๆ โดยจะแบ่งรหัสตามสวิตช์ ดังนี้ C1 = Red, C2 = Brown, C3 = Blue ดังนั้น อย่าสั่งซื้อผิดรุ่นเสียหละ
เมื่อเปิดออกก็จะพบกับคีย์บอร์ด Keychron K2 พร้อมพลาสติกคลุมไว้อย่างดี แต่เดี๋ยวเราพักส่วนนี้ไว้ก่อนนะครับ แล้วไปดูอุปกรณ์แถมภายในกล่องกันนะครับ
เนื่องจากว่าเดิมการออกแบบคีย์บอร์ดรุ่นนี้ เน้นในกลุ่มผู้ใช้งาน MacOS โดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นคีย์เริ่มต้นของมันจึงเป็นเลย์เอาต์แบบเครื่องแมค ซึ่งตรงนี้ผู้ใช้ Windows และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะทางผู้ผลิตได้เตรียมผังเลย์เอาต์สำหรับ Windows มาให้ พร้อมด้วยคีย์แคปสำหรับปุ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ตามแบบของ Windows ส่วนที่เหลือก็จะเป็นคู่มือ, ตัวหนีบคีย์แคป และสายแบบ USB-C ครับ
เรามาดูที่ตัวคีย์บอร์ดกันบ้างนะครับ ต้องบอกเลยว่าจะเป็นคีย์บอร์ดแบบมินิมอล แต่วัสดุที่ใช้ในการผลิตคีย์บอร์ดไม่ได้มินิมอลตามไปด้วย เพราะผู้ผลิตเลือกใช้วัสดุ Aircraft-grade aluminium front panel จึงมั่นใจในความทนทานได้แน่นอนครับ ส่วนการออกแบบของหน้าแป้นคีย์บอร์ดจะมีความโค้ง ช่วยให้การพิมพ์หรือกดปุ่มมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ทางด้านของเลย์เอาต์จะเป็นแบบมินิมอลด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีปุ่มตัวเลขแยกมาให้นะครับ แต่ทาง Keychron ยังเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ ด้วยการแยกปุ่ม Page up/down, Home, End และ Screen capture เชื่อว่าการพิมพ์งานเอกสาร หรือการท่องเว็บต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างราบลื่นขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปุ่มฟังก์ชันเพิ่มเติม ซึ่งออกแบบมาเพื่อควบคุมการทำงานของคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ คือปุ่มการเชื่อมต่อ Bluetooth และปุ่มปรับรูปแบบของไฟ RGB ใช่แล้วครับ Keychron K2 มาพร้อมไฟ RGB ที่สามารถปรับแต่งได้มากถึง 15 รูปแบบ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการพิมพ์งานตอนกลางคืน แถมยังเพิ่มความสวยงามเอาใจเกมเมอร์ไปอีก
ทางด้านข้างของตัวเครื่องอันนี้มองแล้วผมคิดว่ามันหนาไปหน่อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้เพราะนำหนักของมันก็ไม่ได้มากเกินไป ทางด้านซ้ายจะมีพอร์ต USB สำหรับชาร์จแบต หรือเชื่อมต่อพิมพ์งานแบบมีสาย ถัดจากนั้นจะมีปุ่มอยู่ 2 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มสลับระบบปฏิบัติการ (Windows/Android และ MacOS) และปุ่มเปิดปิดการทำงาน
ทางด้านหลังจะมีขาตั้งที่สามารถปรับระดับได้ 6 ระดับ เพิ่มความถนัดในการใช้งานมากขึ้น
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องแบตเตอรี่กันบ้าง บางคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า โห !! ต้องเชื่อมต่อบลูทูธแถมมีไฟ RGB ด้วย ต้องชาร์จไฟบ่อยแน่ ๆ ทว่า ทางผู้ผลิตคอนเฟิร์มมาเลยนะครับ ว่าเจ้า Keychron K2 ตัวนี้ มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh นับว่ามีความจุของแบตเตอรี่มากกว่า Apple Magic ถึง 25% และมากกว่า Keychron K1 ถึงสองเท่า ในการชาร์จเพียงครั้งเดียวสามารถใช้งานติดต่อกันได้ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงครับ
สุดท้าย…แต่เป็นไฮไลท์โคตรเด็ด !! คือแท่นรองข้อมือทำจากไม้วอลนัท แข็งแรงทนทานแต่ยังให้ความรู้สึกนุ่มไม่ต้านข้อมือ ให้องศาในการพิมพ์อยู่ในระดับที่ดีทีเดียว (แต่ต้องสั่งซื้อแยกนะครับ)
จากการใช้งานส่วนตัว ในแง่ของฟีลลิ่งผมถือว่าการพิมพ์งานและเล่นเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดี ด้วยการเลือกสวิตช์ที่เหมาะสมกับความชอบ แต่ติดนิดหนึ่งคือเรื่องปุ่มตัวเลขที่ไม่ได้ทำแยกออกมาให้ ส่วนทางด้านความสะดวกในการพกพา บอกเลยว่าข้อนี้กินขาด เพราะ Keychron K2 มีความเบา ขนาดกระทัดรัด อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับอุปกรณ์ได้หลากหลาย หมดห่วงเรื่องการชาร์จไฟ เพราะแบตเขาอึดจริง ๆ ครับ
สำหรับใครที่สนใจนะครับ สามารถสั่งซื้อทั้งคีย์บอร์ด Keychron K2 ได้ในราคา 3890 บาท และแท่นรองข้อมือไม้วอลนัทในราคา 890 บาท ผ่านทาง Facebook Fanpage – Keychron Thailand
ช่องทางสั่งซื้อ 📌
1. Facebook Page : Keychron Thailand
2. Lazmall : https://s.lazada.co.th/s.03HE7
3. JD Central : https://sl.jd.co.th/AvDsLnO
4. www.keychronthailand.com
You must be logged in to post a comment.